STEP 1 : IDEA
หลายๆคนบอกว่าประสบการณ์เยอะมาก ทำได้หลากหลายมากๆจะเริ่มจากตรงไหนดีผมเริ่มแชร์อย่างนี้นะครับว่า การหาไอเดียทำคอร์ส สามารถทำได้หลายรูปแบบมากๆแต่สิ่งสำคัญนะครับก็คือก่อนที่เราจะออกมาทำคอร์สอะไรสักอย่างสิ่งสำคัญอย่างแรกๆที่เราต้องทำความรู้จักก็คือ
ตลาดครับการที่เราจะทำคอร์สออนไลน์เราอยู่ในมาร์เก็ตไหนถ้าเราอยูในตลาดที่ตรง เราก็มีโอกาสสำเร็จสูงมากแล้วครับไม่ว่าจะใน หรือ ต่างประเทศก็ตามแต่ จะมีแนวหลักๆอยู่ประมาน 3 แบบนะครับก็คือ
1. WEALTH การทำเงิน
2. HEALTH สุขภาพ
3. RELATIONSHIP ความรัก ความสัมพันธ์
ใครที่มีไอเดียไหนลอกจัดตลาดก่อนว่ามันอยู่ใน Idea ไหนนะครับแต่ว่าเพื่อให้มันง่ายขึ้นไปอีกเราก็จำเป็นต้องแบ่งอีกเป็น Sub-market
และสุดท้าย สิ่งที่ทุกคนต้องหาจริงๆที่ผมอยากให้ทุกคนโฟกัสมากๆเพราะสิ่งนี้จะทำให้เราโดดเด่นกว่าคนอื่นในตลาดนั่นก็คือ Niche
คุณต้องหาตลาดเฉพาะก่อนที่คุณจะเข้าใจ
ใครที่มีไอเดียไหนลอกจัดตลาดก่อนว่ามันอยู่ใน Idea ไหนนะครับแต่ว่าเพื่อให้มันง่ายขึ้นไปอีกเราก็จำเป็นต้องแบ่งอีกเป็น sub market
และสุดท้าย สิ่งที่ทุกคนต้องหาจริงๆที่ผมอยากให้ทุกคนโฟกัสมากๆเพราะสิ่งนี้จะทำให้เราโดดเด่นกว่าคนอื่นในตลาดนั่นก็คือ Niche
คุณต้องหาตลาดเฉพาะก่อนที่คุณจะเข้าใจ
ผมยกตัวอย่างให้ดูอย่างเช่น
การหารายได้ Sub-market คืออะไร ?
เห็นภาพชัดขึ้นมั้ยครับ นี่คือ Sub-market
แต่ถ้าเป็น Niche ก็คือตัวแทนอาหารเสริม สมุนไพร ขายในรูปอบบออนไลน์ ขายของผ่าน lazada การทำคอร์สออนไลน์เห็นมั้ยครับ นี่คือ niche ที่แยกย่อยลงมา และส่วนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือสิ่งเหล่านี้ควรที่จะเป็นประสบการณ์ใหม่ที่คนยังไม่ค่อยจะได้ยิน และโอกาสสำเร็จก็จะเยอะขึ้นถ้าภาพพวกนี้ชัดเจนครับ นี่คือส่วนของการหาไอเดีย หากมมีไอเดียเยอะมาก
STEP 2 : AUDIENCE กลุ่มเป้าหมาย
หลายๆคนมักเข้าใจผิดตรงนี้ และอยากที่จะขายทุกคนที่อยู่ในตลาดหรือก็คือการทำให้มัน Mass นั่นเองแต่ว่าการข้าใจผิดตรงนี้จะส่งผลให้ มันมีความยากเกิดขึ้นในการทำ Content ก็ดี หรือแม้แต่ตอนทำการตลาดก็ดี
ตัวอย่างนะครับ
สมมุติว่าเราอยู่ในตลาดสุขภาพ และ Sub-market คือการลดน้ำหนักทีนี้การลดน้ำหนักเราอยากจะหากลุ่มเป้าหมาย และ niche ที่เราอยากจะไปก็คือ การออกกำลังกายรูปแบบใหม่ ที่คนไม่เคยได้ยิน กลุ่มเป้าหมายมีอะไรได้บ้าง สิ่งที่เราจะต้องน้ำมาคิดว่าใครที่จะใช้ไอเดียนี้แล้วประสบความสำเร็จได้บ้าง
หลายๆคนมักกังวลว่า
ติดปัญหามากมายเต็มไปหมดลองดูตรงนี้กันดีๆนะครับ เพราะว่าเรื่องพวกนี้อาจเกิดมาจากว่ากลุ่มเป้าหมายเราไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกสมมุติว่าเป็นการออกกำลังกาย กลุ่มเป้าหมายเรามีหน้าตายังไงบ้าง
เห็นตัวอย่างของกลุ่มเป้าหมายที่ดีไหมครับอย่างที่ผมบอกไปว่า หากกลุ่มเป้าหมายเเหล่านี้ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกมันจะทำให้เราผลิตคอนเทนต์ ออกมาได้ยากมากๆแล้วก็มีโอกาสล้มเหลวสูง
STEP 3 : RESULT ผลลัพธ์
เป็นเรื่องที่ผมได้รับคำถามมาเยอะมากๆสำหรับเวลาตอบคำถาม หรือแม้แต่การ Consult
จะเรียบเรียงเนื้อหาของคอร์สยังไงดี จะสอนอะไรบ้างดี สอนกี่ชั่วโมงดี
สิ่งที่ผมอยากจะแชร์ก็คือการทำคอร์สมีอยู่ 2 รูปแบบ ครับ คือ
Information & Transformation
2 อย่างนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจนมากๆนะครับผมจะเล่าตัวอย่างให้ดูก็คือ
Information
คือการที่เราต้องการเล่าทุกอย่างให้เค้าให้ได้เยอะที่สุดโดยที่ไม่ได้กังวลว่าเค้าจะสามารถทำตามได้หรือไม่
หรือ บุคคลเหล่านี้จะสามารถสร้างผลลัพธ์ได้รึเปล่า
Transformation
ส่วนแบบที่สอง ถ้าเข้าใจมันจะทำให้เรา ทำคอร์สออกมาได้ง่ายขึ้นทั้นทีเพราะ Transformation จะไม่มีคำถามว่าต้องสอนกี่ชั่วโมง สอนอะไรบ้าง
คำถามเหล่านี้จะไม่ถูกถามขึ้นมา เพราะสิ่งที่เรามุ้งเน้นอย่างเดียวเลยก็คือคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา ที่ซื้อคอร์สของเราไปแล้วพวกเค้าเหล่านี้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เค้าต้องการได้รึเปล่า
ยกตัวอย่างครับ
ถ้าเราต้องการทำคอร์สในการวางแผนภาษี โดยที่กลุ่มลูกค้าที่เราต้องการคือ คุณหมอเรามาดูความต่างกันครับถ้าเป็นปกติการคิดในแง่ของการสอน Information เราก็จะต้องเล่ายาวๆ ว่า การจดภาษีมีกี่แบบอะไรยังไงบ้าง แต่การคิดแบบ Transformation คือ คุณหมอดูแค่วงเล็บนี้พอ
ผมไม่ได้ต้องการสอนทุกอย่าง ผมแค่ต้องการให้คุณหมอที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของผมสามารถลดภาษีได้เนื้อหาของคอร์สจะกระชับ สั้น และสร้างผลลัพธ์ได้จริง
STEP 4 : CONTENT
หลายคนหลังจากพ้นส่วนของกลุ่มเป้าหมายมาแล้ว ก็จะมาติดอยู่ตรงนี้ครับว่าทำ Content ยังไงดีให้คนเชื่อ
สิ่งสำคัญของการทำ Content นะครับ มันจะเป็นผลสอดคล้องมาจากสาม Step แรกนะครับ ว่าเราเลือกไอเดียอะไร กลุ่มเป้าหมายแบบไหน
และผลลัพธ์ที่เราจะสร้างเป็นแบบไหนและที่สำคัญที่สุดคือ คุณแตกต่างจากคู่แข่งยังไง?นี่คือเรื่องของจุดเด่น ถ้าเกิดหาตรงนี้ไม่ได้
การทำ Content ที่เหลือจะยากหมดเลย
หากผลลัพธ์ชัด กลุ่มชัด มันจะทำให้คุณสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้เล่าให้คนฟังเชื่อได้แม้ว่าคุณจะพึ่งเปิดเพจเมื่อไม่นานมานี้ก็ตามหลักสำคัญของ Content ก็คือ เรื่องของ Copy writing หรือหลายๆคนเรียก Story telling
มันคือทักษะที่จะเปลี่ยนคนที่พึ่งรู้จักกัน ให้กลายมาเป็นลูกค้าหากเพื่อนๆทุกคนเข้าใจ และพยายามศึกษา มันจะทำให้คุณสร้างความเชื่อได้ง่ายมากขึ้นเพราะสินค้าอย่างคอร์สออนไลน์ ไม่ใช่สินค้าที่เห็นแล้วซื้อตั้งแต่ครั้งแรก คุณต้องทำให้กลุ่มลูกค้าของคุณนั้นเชื่อในผลลัพธ์ที่คุณจะสร้างให้เค้า
และอย่างที่ผมบอกมันต้องเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เค้าไม่เคยเจอมาก่อน
STEP 5 : FUNNEL
อีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่คนส่วนใหญ่คิดคือว่า ออกมาเปิดเพจทำ Content บ่อยๆ ขึ้นมา Live ก็จะขายได้แล้ว…แต่ว่าความจริงนั้นอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป..หลายๆคนที่ผมเป็น Consult ให้มี Fanpage หลักหมื่น หรือว่าหลักแสน และขายคอร์สราคาถูกด้วยนะครับแต่ตัวเลขพวกนี้ไม่ได้การันตรีว่าจะขายคอร์สได้เสมอไปไม่ว่าจะเป็น Like หรือ Engagement ก็ตามทั้งหมดทั้งมวล การทำคอร์สออนไลน์ไม่ได้มีสูตรตายตัวที่ทุกคนทำตาม
แล้วจะประสบความสำเร็จ มันมีวิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้คุณก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จ
คุณจำเป็นที่จะต้องศึกษากลยุทธ์ที่หลากหลาย และนำมันมาปรับใช้เพื่อให้คุณเกิดประสิทธิภาพที่สูงสุดมารู้จัก Funnel กันครับ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการขายคอร์สผมจะมาเล่าเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น และแชร์สิ่งที่ผมนำเอา Funnel ของต่างประเทศมาประยุกใช้ในไทย
หลักๆของ Funnel ที่ผมทดสอบมีอยู่ 3 อย่างด้วยกันครับ ก็คือ
1. SLO (self liquidating offer)
คือการทำตลาดที่มัน Cover ค่าโฆษณาได้ด้วยตัวเอง เช่น...
ปกติสมมุติว่าเราตั้งใจขายคอร์ส 20,000 และเน้นยิงโฆษณาแต่เพื่อให้มัน cover ต้นทุนค่าโฆษณาได้เราทำคอร์สถูก 990 บาท มาขายเพื่อให้มัน Cover ค่าโฆษณา แต่กำไรจริงๆ ก็คือ ตัวที่ 2 ที่เราจะขายกลยุทธ์แบบนี้คือการเปิดใจคนด้วยสินค้าราคาถูก แต่คุณภาพมากๆก่อนเช่น
อะไรก็ได้ แต่ Concept คือ “มันต้อง Cover ค่าโฆษณาของเรา” และต้องเนื้อหา Premium ได้คุณค่าจริงๆ
ขายคอร์สออนไลน์ 20,000 คุณตั้งเป้ารายได้ไว้ 100,000 บาทต่อเดือน แสดงว่าต้องขาย 5 คน/เดือนและการทำแบบนี้ใช้ค่าโฆษณา 30,000 บาท
สินค้าตัวถูก 990 บาท ที่คุณจะขายเพื่อเปิดใจต้องสามารถ Cover ค่าโฆษณาในราคา 30,000 บาทได้นั้นเอง
ในที่นี้ก็ขาย ประมาน 30คน/เดือน ทำให้เค้าชอบ เค้าเชื่อด้วยสินค้าบางอย่าง และในเมื่อพอเค้าเชื่อเค้าด็จะตัดสินใจซื้อของของเราในราคาที่สูงขึ้นเป็นขั้นบันไดแถมไม่ต้องกังวลค่าแอดที่แพง พอเห็นภาพมั้ยครับสุดท้ายเค้าจะไม่ได้ซื้อของของคุณเพราะมันแพงขึ้น แต่เค้าจะซื้อเพราะสินค้าของคุณสร้างผลลัพธ์บางอย่างให้เค้าต่างหาก
2. High ticket price offer
แบบที่ 2 ก็คือ เราไม่ต้องมีสินค้าหลากหลายตัวก้ได้ เราทำคอร์สหลักขึ้นมาแค่คอร์สเดียวก็ได้ครับ แต่ว่าขายในราคาที่สูงหน่อยแต่แลกมากับการ support แบบ premium การทำ high ticket price แปลว่าเราจะต้องดูแลเค้าอย่างดีและทำให้เค้าเกิดผลลัพธ์ที่เราให้สัญญาไว้ให้ได้
อย่าลืมนะครับว่าเราเน้น การเปลี่ยนแปลง หรือ transformation ไม่ใช่ information เมื่อไหร่ก็ตามที่เราตั้งเป้าถึงผลลัพธ์ของเค้าเสมอ เราจะเก็บแพงกว่าคู่แข่งในตลาดก็ได้หาลูกค้าที่ ปัญหาเค้ามีมูลค่า คุ้มกับเงินที่จะจ่าย และอยากที่จะรีบแก้ให้ได้คุณต้องเข้าไป research เพื่อหาช่องว่างของตลาดเพื่อหาว่าในตลาดนี้ คนยังมีความต้องการอะไรหลงเหลืออยู่
ถ้าเกิดว่ามี นั่นแปลว่าคอร์สที่มีอยู่ในตลาด ณ ตอนนั้นไม่ได้สามารถตอบโจทย์ของเค้าได้เสมอไป หรือไม่สามารถสร้างผลลัพธืให้เค้าได้และนี่คือหลักของการทำ High ticket price ซึ่งการทำแบบนี้ไม่ใช่อยู่ๆออกมาขายแพงนะครับมันคือการดูแล เพื่อให้เค้าได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น
เป้ายอดขาย 100,000 บาท ปกติขาย 1000 บาท ก็ต้องสอน 100 คน
ถ้า High ticket price เน้นผลลัพธ์
อาจจะเหลือแค่ 10 ที่ราคา 10,000 บาท หรือ 100,000 บาท สอนแค่ 1 คน ก็ได้
เพื่อ support อย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ปล่อยให้เค้าไปเรียนรู้อยู่คนเดียวอยู่ภายใต้เงื่อนไข ต้องคุ้มกับผลลัพธ์ที่จะได้
3. Webinar funnel
กลยุทธ์สุดท้าย เป็นของใหม่ที่ผมเพิ่งจะเข้ามาใช้ทดสอบในไทยครับ คุณสามารถปิดการขายได้ ภายในคลิปเดียว โดยไม่ได้ออกหน้าหรือแม้ว่าเพจจะพึ่งเปิดได้เลยซึ่งผลตอบรับก็ดีมากๆ เป็นการให้คนลงทะเบียนเข้ามาฟังเราในรูปแบบของสัมมนาสดผ่านออนไลน์ในรูปแบบสมัยก่อนเราจำเป็นต้องออกมาาไลฟ์ เพื่อสร้างtrust ให้กับคนดู และกลุ่มเป้าหมายที่เราตั้งไว้ตั้งแต่แรก
แต่มันจะเกิดปัญหากับคนที่พึ่งจะเปิดเพจ คนที่ยังไม่เป็นที่รู้จักหรือ ไม่ได้มีชื่อเสียงมากพอ คนจะไม่ได้เข้ามาตั้งใจฟังและมันจะผิดวัตถุประสงค์ ของเราในการออกมาทำ content ครับเราต้องการให้คนเข้ามาฟังเรา ถ้า content เราดี ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและเค้าดูจนจบ เราก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนเค้าได้ สร้างความน่าเชื่อถือได้และ มีโอกาสที่จะขายเค้าได้
webinar funnel คือการทำระบบ ให้คนเข้ามาลงทะเบียนฟังแล้วก็เข้ามาฟังรอบสดเท่านั้น
โดนผ่านเครื่องมืออย่าง webinar ลองจินตนาการกันดูนะครับ Live ปกติเนี่ย คนจะคิดว่าเดี๋ยวก็ค่อยย้อนกลับมาดูก็ได้แต่พอเป็น webinar ที่เค้าต้องมารอรอบสดทำให้เค้าต้อง จดจ่อกับการไลฟ์ของเรา ตั้งแต่ต้นยันจบพอเค้าเข้ามานั่งรอฟังเรื่องที่คุณกำลังจะเล่าได้นั้นแปลว่าคุณสำเร็จแล้วในการสร้าง contentแต่ทั้งหมดทั้งมวล เรื่องที่คุณจะเล่าจะต้องน่าสนใจสำหรับเค้าและก็เป็นการแก้ปัญหาที่เค้าตามหาอยู่
STEP 6 : MARKETING
ในขั้นตอนนี้ จริงๆ มีทั้งวิธีที่ไม่เสียเงิน และแบบเสียเงินแต่ในที่นี้ผมจะเล่ารูปแบบโฆษณา เสียเงิน เพราะมันเร็วและวัดผลได้เร็วกว่ามาก
มาเริ่มกันเลยครับการทำคอร์สออนไลน์จริงๆแล้ว มันเป็นเรื่องของ demand กับ supply แค่นั้นเองจริงๆครับ
การตลาดมันเป็นแค่คุณมีกลุ่มเป้าหมายที่อยากจะสร้างผลลัพธ์ให้คุณมีคอร์สที่สามารถสร้างผลลัพธ์เหล่านั้นให้ออกมาได้แล้วก็ 2 กลุ่มนี้จะถูกเชื่อมกันด้วย content หรือการทำโฆษณาดังนั้นถ้าคุณทำแล้วมันยังไม่สำเร็จ ให้มองดูอย่างนี้ก่อนครับคุณเลือกช่องทางการทำโฆษณาได้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของเราแล้วหรือยัง ซึ่งในปัจจุบันก็มีช่องทางเลือกมากมายในการทำโฆษณา แต่ถ้าจะเอาฮิตที่สุดก็คงไม่พ้น google และ facebook
2 อย่างนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนะครับสินค้าบางอย่างขายดีใน google แต่ไม่ดีใน facebook สินค้าบางอย่างขายดีใน facebook แต่กลับไม่ดีใน google เลยอย่าลืมว่าการขายคอร์ส มันคือ demand กับ supply ต้องตามหาให้เจอและเชื่อมเค้ากับคุณเข้ามาให้ได้หลายคนทำ content ออกมา แต่ไม่มีคนดูเลยทำยังไงดี
ผมก็คงต้องตอบเลยว่าก็ต้องกล้าที่จะซื้อโฆษณา mindset ตรงนี้สำคัญมากๆนะครับ หลายๆคนที่ผม consult วางเนื้อหาดีมาก คอร์สดีมากๆ แต่ปัญหาอไม่ใช่คอร์สขายไม่ได้แต่คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามีคอร์สนี้อยู่ในตลาดนี่คือช่องทางการทำโฆษณา
STEP 7 : OPTIMIZATION
หลังจากที่เราได้เริ่มทำโฆษณาไปแล้ว ก็จะมาเจอกับการจัดการโฆษณาต่อไป ทำยังไงให้ค่าโฆษณาคุ้ม
หรือถูกลงในแบบที่เราขายคอร์สได้กำไร หรือ คู่แข่งเยอะแล้วเราจะทำตลาดได้ไหม ?
ผมบอกเลยว่าแม้แต่คนที่ซื้อโฆษณาที่เก่งที่สุดทำคอร์สใหม่ไม่ได้แปลว่าคอร์สนั้นจะประสบความสำเร็จ 100%ดังนั้นการทำตลาดที่ดีต้องมีการ optimize โฆษณาด้วยเสมอคุณจำเป็นต้องมี…การวัดผล และ พัฒนา อย่างสม่ำเสมอ
เพราะช่องทางที่ง่ายขึ้นทำให้ใครก็ได้สามารถซื้อโฆษณาได้แล้วปัญหาจริงๆคือหลายๆคนทำแล้วไม่สามารถวัดผลได้ทำให้คุณไม่่สามารถรู้มูลค่าของธุรกิจของตัวเองได้แน่นอนถ้าเกิดวันนี้ผมบอกคุณว่าคุณจ่ายเงินค่าโฆษณา 1 บาท คุณจะได้เงินกลับมา 5 บาท ถ้าเกิดเคสของคุณเป็นแบบนี้
คำถามคือ…“คุณจะอยากใช้เงินโฆษณาเท่าไหร่?”
มันก็จะไม่จำกัดเลยถูกไหมครับ เราจะไม่มีคำถามในใจว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหา number ของธุรกิจเราเจอเหมือนที่ผมยกตัวอย่างคำถามเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับเราอีกเลยครับเราต้องมองการทำธุรกิจออนไลน์เป็นธุรกิจจริงๆซึ่งการทำธุรกิจมันจำเป็นต้องมี Cash flow ในการทดสอบเวลาที่เราลงทุนในการทำธุรกิจ cash flow จะเป็นตัวช่วยให้
การทดสอบเพื่อค้นหา number ของธุรกิจของคุณให้เจอ
ในกรณีที่เรามีไอเดียเยอะ กลุ่มเยอะ cash flow จะเป็นตัวค้นหาคำตอบให้คุณว่าตรงไหนที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณหัวข้อไหนที่ดี ที่ใช้เงินไปแล้วมันกลับมาเป็นกำไรแล้วที่เหลือก็คือตัดอันที่มันขาดทุนทิ้ง
STEP 7 : SCALE
เมื่อวันที่ทุกอย่างที่ผ่านมาทุก step มันลงตัวแล้วคุณถึงจะ scale หรือขยายผลได้อย่างมั่นใจ เพราะคุณรู้แล้วว่า คุณใช้เงินไป
1 บาท มันจะกลับมาเป็นกำไร 5 บาทถ้าหากวันนี้คุณใช้เงินโฆษณา 1 ล้านบาทมันก็จะกลับมาหาคุณในสัดส่วนที่ กำไรมากขึ้นแน่นอน
นี่คือ 8 step ในการปั้นคอร์สออนไลน์ให้ปังนะครับ หวังว่าเนื้อหาตรงนี้จะสามารถช่วยเพื่อนๆแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างแน่นอนครับ
เหมาะสำหรับเพื่อนที่จริงจังอยากทำ Digital Asset ในปีนี้และเป็นคนที่ชอบทดสอบ วัดผล อยากเห็น Feedback เร็วๆ