10 รูปแบบ ในการทำคอร์ส จากเพียงแค่ 1 idea
ควรเริ่มจากรูปแบบไหน เพื่อให้ถึงเป้า 1 แสน/เดือน
บทความนี้จะมาตอบคำถามเรื่องของรูปแบบการทำ digital product นะครับ
เพราะมีเพื่อนๆเข้ามาถามเยอะเหมือนกันควรทำรูปแบบไหนดีผมเลยมาแชร์ให้ว่าผมแยกตัวสินค้าที่เป็นแนว digital product
ออกมาได้ประมาน 10 แบบนะครับ แต่ทั้งหมดเริ่มต้นจากไอเดียที่โดนเพียง 1 ตัว ซึ่งอาจจะพลิกชีวิตคุณได้เลย
จริงๆแล้ว digital product เนี่ยมันไม่ได้มีแต่สินค้าที่เป็นคอร์สออนไลน์ E-book หรือ สัมมนาสดอย่างเดียว และแต่ละตัวเนี่ยก็จะมีข้อดี หรือจุดเด่นในแบบของตัวเองเดี๋ยววันนี้ลองมาดูกันนะครับ และเดี๋ยวผมจะแชร์ด้วยว่าคนประเภทไหนที่เหมาะกับการ
ทำ digital product รูปแบบไหน
รูปแบบการทำผมชอบเรียกรวมว่า digital asset
เพราะว่ามันมีหลายรูปแบบมากๆ ไม่ใช่แค่พวกคอร์สออนไลน์
วันนี้ก็จะมีรูปแบบที่เหมาะ ให้คุณได้เริ่มต้นครับ Mindset ที่ผมอยากจะแบ่งปัน ก่อนก็คือบางรูปแบบมันเป็นทักษะ ที่ฝึกฝนกันได้
เช่น การพูดมันเหมือนคุณหัดว่ายน้ำ หัดขับรถ เรื่องพวกนี้เป็นทักษะที่ไม่มีใคร ทำเป็นมาตั้งแต่เกิดต้องเรียนรู้ ต้องฝึกฝน ต้องทำซ้ำๆ ถึงจะทำได้ และมันจะติดตัวคุณไปตลอดแม้คุณจะไม่ได้ทำมันนานก็ตาม
คุณต้องทำก่อน ถึงจะเก่งนะครับแม้ว่าตอนแรกๆ จะไม่ดี แต่การที่ไม่ดี ก็แสดงว่าคุณได้เริ่มแล้วเริ่มจากไม่ดี ก็จะ เป็นดี
จากดี เป็นดีมากหากพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ทุกรูปแบบวันนี้ ถ้าเกิดคุณตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ออกไปมันจะก้าวข้ามเรื่องที่คุณเคยกังวลออกไปอย่างน้อยขอให้คุณมั่นใจในสิ่งที่คุณจะสอน และเป็นสิ่งที่จะสร้างผลลัพธ์ให้ผู้คนได้จริง แค่นี้คุณก็สามารถทำ digital asset ได้แล้ว เพื่อให้เราสามารถออกไปช่วยให้คนสามารถสร้างผลลัพธ์ให้เค้าได้จริงมาถึงรูปแบบที่หนึ่งนะครับ ก่อนเข้าไปถึงรูปแบบผมอยากให้ทุกคนค่อยๆเลือกในแบบที่เหมาะกับตัวเองนะครับแล้วเราจะมีกำลังใจในการทำมัน
1 : E-book
E-book ก็คือเหมือนหนังสือในร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป แต่เป็นไฟล์บนระบบ digital ถ้าเป็นในรูปแบบนี้ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบออกกล้อง แต่มีทักษะในการเขียนและเรียบเรียงข้อมูลหลายๆครั้งที่ผมได้รับรู้ถถึงความกังวลของเพื่อนๆหลายๆคนก็คือว่า เวลาที่เราจะสร้าง e-book ทุกคนจะชอบกังวลว่ามันเริ่มยังไงเหรอคุณอุ้ย มันใช่เครื่องมือตัวไหนหรือว่ามันทำยังไงไม่ให้คนสามารถมา copy ผลงานของเราออกไปได้
ผมแชร์แบบนี้นะ ประเด็นพวกนี้มันยิบย่อยผมเคยคิดแบบนี้เหมือนกันผมเลยอยากจะแชร์นะครับ
ความกังวลพวกนี้คือความกังวลที่ทำให้คุณกลัวจนคุณ “ไม่ได้เริ่ม”
พอเราไม่ได้เริ่มมันเท่ากับว่าวันนี้คุณจะล้มเหลว 100%
พูดกันตามตรงว่า มันคงมีบ้างในการที่เค้าจะเอาไปแจกกันผมเลยอยากให้ทุกคนโฟกัสกับผู้คนที่เราได้ช่วยเหลือผ่าน e-book ที่เราสร้างขึ้นมากกว่า
ถ้าคิดแบบนี้เราจะสบายใจขึ้นในการทำนะครับเพราะถ้าเกิดเรารอหาวิธีแก้ปัญหามันจะทำให้เราไม่กล้าที่จะเริ่มทำมันสักที
ย้อนกลับไป 2014 สินค้าที่เป็น digital assetแรกของผมก็คือ e-book เช่นกันครับ เชื่อมั้ยว่าผมไม่ได้คิดยากเลย ผมพิมพ์เนื้อหาเข้าไปใน microsoft word ก่อน เพื่อเรียบเรียงเนื้อหา และผมไม่ได้จัดหน้ากระดาษด้วยนะ
แต่สิ่งที่ผมมั่นคือผมเรียบเรียงมันออกมาได้ดี และช่วยเหลือคนอื่นได้จริงและเทสแล้วว่ามันมีคนต้องการเสร็จแล้วผม search google ว่าวิธีเปลี่ยน
Word > PDF ทำยังไงแล้วมันจะมีวิธีออกมาให้เพียบเลยนะครับพอผมทำการตลาดเสร็จ ผมจะบอกว่า E-book เล่มนี้ช่วยคุณแก้ปัญหาเรื่องนี้ราคา 590 บาทซึ่งแพงกว่าหนังสือในร้านหนังสืออีกนะตอนนั้นยังไม่มี facebook live เลยนะ ตอนนั้นไม่เคยมีคนมาบ่นผมเลยนะว่าจัดรูปแบบไม่สวยเลย
ผมเลยอยากจะแชร์ว่าถ้าคุณมั่นใจว่าไอเดียคุณดีมันขายได้ และมันขายดีด้วยเพราะงั้นผมถึงอยากแชร์ว่าความ perfect มันทำให้คุณไม่ได้เริ่มเพราะสุดท้ายแล้วยุคนี้ความ perfect คุณสามารถหา Outsource ต่างๆมาช่วยทำได้ คุณสามารถตามหา Freelance ได้ใน fastwork ให้เค้าเข้ามาช่วยงานคุณได้เลย ไม่ว่าจะเป็น
โดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรต่อ แค่พิมพ์ข้อมูลทั้งหมดไว้ใน Word เท่านั้นเอง
2. หนังสือเล่ม
ก่อนหน้านี้เราพูดถึง e-book ที่เป็นหนังสือที่ไม่ต้องพิมพ์กันไปแล้วนะครับมาดูกันในรูปแบบที่พิมพ์จริงกันบ้าง ในยุคนี้เนี่ยมันไม่เหมือนสมัยก่อนแล้วสมัยก่อนการสั่งพิมพหนังสือต้องสั่งพิมพ์เป็น 1,000 เล่มถึงจะให้โรงพิมพ์ผลิตหนังสือออกมาให้ได้แต่ยุคนี้เนี่ย เรามีเรื่องของ digital print นะครับ
หมายถึงว่า คุณสามารถสั่งพิมพ์หนังสือของคุณออกมาจะเล่มเดียว หรือ เป็น box 10 - 16 เล่มก็ได้ผมเคยสั่งพิมพ์เล่มเดียวเพื่อเอามาเทสก่อนแล้วค่อยสั่งเพิ่มเอามาขายก็มีครับ
ดังนั้นมันไม่มีขั้นต่ำแล้ว เรทไม่เยอะ ก็สามารถพิมพ์ได้เลยไอเดียของการทำหนังสือเนี่ยใครเคยเข้าร้านหนังสืออย่างพวก kino kuniya ไหมครับ ที่เป็น type ของหนังสือที่น่าเก็บดังนั้นการเพิ่ม value ของหนังสือก็คือการทำให้มันเป็นของสะสมรูปแบบนึง เป็น box set สวยๆมันจะสามารถทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าให้มันได้สูงขึ้นซึ่งในประเทศไทยนี่มีนะ ในหลากหลายรูปแบบด้วยเราจะเก็บมันเหมือยของสะสมแทนทีจะขายได้เล่มเดียว ก็จะขายได้ยกเซ็ตเลยใครที่เขียนหนังสือเป็นซีรีย์สามารถทำแบบนี้ได้เลยนะครับ
3. Audio book
หรือที่เรียกกันว่าหนังสือเสียงนะครับเค้าเรียกกันว่า audio book มันจะมีพาร์ทชายในร้านหนังสือนะครับ ถ้าเกิดว่า
หนังสือเป็นเล่มๆ ราคาประมาน 200 300
Audio book นะราคา 400-500
เพราะมันคือValue ของเสียง ที่เราสามารถอ่านหรือฟังได้ในขณะที่เราทำกิจกรรมอื่นอยู่ มันคือ value บางคนเนี่ยอ่านหนังสือยังไงก็ไม่จบเล่มแต่พอเราฟังคนอื่นอ่านให้เนี่ย มันทำให้เราได้รับข้อมูลได้ง่าย และดีมากขึ้น
คือผมเคยติดกับดักพวกนี้เยอะ เวลาจะเริ่มทำอะไรพวกนี้ว่าเราต้องใช้โปรแกรมอะไร เราต้องใช้ไมค์อะไรเสียงมันถึงจะออกมาดีได้ขนาดนั้น สุดท้ายแล้วผมก็มาค้นพบว่าโปรแกรมง่ายๆในมือถือ สามารถที่จะทำให้เสียงของคุณออกมาดีได้เลย สมัยก่อนผมใช้โปรแกรมฟรีด้วยนะครับชื่อ audacity เพื่อเคลียเสียงรบกวนออกไป
เราะต้องเข้าใจแบบนี้นะครับว่ามันมี type ของคนอยู่บางคนชอบอ่าน บางคนชอบฟัง บางคนชอบลงมือทำ มันทำให้ถ้าเราทำอยู่ในรูปแบบเดียว คุณอาจจะ พลาดคนบางคนไป
4. คอร์สออนไลน์
เรื่องนี้จะมาพูดถึงการออกหน้ากันบ้างนะครับ ใครเคยคิดแบบผมมั้ยว่า การทำคอร์สออนไลน์เราจำเป็นที่จะต้องพูดเก่งเราถึงจะทำได้
มีใครเคยคิดแบบนี้ไหมครับ? จริงๆแล้วรูปแบบของการทำคอร์สออนไลน์ที่ง่ายที่สุด ที่ผมเคยทำ คือการ record หน้าจอ มันเหมือนกับกำลัง present powerpoint อยู่
โปรแกรมที่ผมใช้ชื่อว่า screen cast omatic ผมแชร์สิ่งที่ผมเคยติดเพื่อให้ทุกคนหมดกังวลนะครับการพูดหรือทักษะการพูดเนี่ย เป็นสิ่งที่ต้องฝึกนะครับการพูดหน้าคอม การพูดกล้องหน้าคนละฟีลลิ่งเลยนะครับ ผมเคยทำแล้วผมพูดไม่ออกเลยนะ แต่สิ่งที่ทำให้เราผ่านมันไปได้คือคุณต้องมี mindset ที่ถูกต้องก่อนก็คือเหมือนที่ผมบบอกสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ต้องฝึก
การเริ่มต้นทำ digital asset ผมถึงย้ำว่าให้เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณ
เชี่ยวชาญ มันจะทำให้คุณมีกำลังใจในการทำ
ในเวลาที่ผมฝึกเรื่องพวกนี้ ผมให้น้องๆในทีม ถือกระดาษอยู่หลังกล้องเพื่อให้ผมมี bullet ในการที่ผมจะพูดเวลาผมอยู่หน้ากล้อง คุณต้องเข้าใจมันว่า มันไม่ได้มีใครเก่งมาตั้งแต่แรกผมเองก็ผ่านการพูดมาเป็นร้อยๆครั้งเหมือนกันดังนั้นวันที่มันส่งต่อออกไป เราคือเราสามารถล่นเวลาให้คนที่กำลังเพิ่มเริ่มให้เค้าสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ก็พอ
5. การสอนสดผ่านโปรแกม เช่น zoom
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาที่เราอยากจจะทำสัมมนา เราต้องเช่าโรงแรม เราต้องทำห้องสัมมนา แต่ในยุคนี้เนี่ยผมบอกเลยว่าคุณสามารถทำในรูปแบบ
สตรีมมิ่งออนไลน์ได้แล้วผ่านโปรแกรมเช่น zoom เพราะทุกคนเริ่มที่จะเคยชินกับการใช้โปรแกรมพวกนี้กันแล้วในยุคนี้ ผมเคยมีนักเรียนที่สอนแบบสัมมนาเสมอแล้วมาบ่นกับผมเลยว่ามันเหนื่อยมากกับการเตรียมงานและการจัด
ผมเลยแนะนำวิธีนี้ไป คือสอนพร้อมกันหลายๆคนผ่านออนไลน์ ไอเดียคือว่า มันคือการสอนสด เสมือนมาเจอกันตัวเป็นๆ ซึ่งเมื่อก่อนคนไม่ชินนะครับ มันเป็นการยุ่งยากเกินไปที่จะต้องมานั่งกดลิงค์ กรอกไอดี เพื่อเข้ามาฟังอะไรสักอย่าง
แต่ยุคนี้ในสถานการณ์ที่มันบังคับคนเลยเคยชินกับการใช้ zoom แปลว่าคนเปิดรับการเข้ามา สัมมนา หรือ เรียนออนไลน์มากขึ้น ยิ่งถ้าคุณยังอยู่ในช่วง กำลังพัฒนาคอร์ส หรือ สัมมนา แล้วคุณยังไม่รับรู้ถึงปัญหาของกลุ่มเป้าหมายสิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาคอร์สของคุณได้ดีขึ้นไปอีก
เพราะคุณสามารถรับ feedback จากนักเรียนและเอามาปรับใช้ได้ตอบคำถามได้เลย
6. สัมมนาสด
รูปแบบนี้ก็คือการสอนสดบนเวทีเลย คุณจะต้องอยู่ต่อหน้าคนรูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ไม่ใช่ทุกคนทำได้ แต่เป็นรูปแบบที่คนไทยชอบเรียนเพราะเค้ารู้สึกว่าเค้าได้เจอตัวเค้าได้ connect กับเพื่อนรอบๆที่อยากพัฒนาเรื่องเดียวกันกับเวลาที่เค้ามีคำถาม เค้าสามารถเข้าถึงได้เลย
รูปแบบนี้ก็เป็นรูปแบบที่ดี แต่การสอนสดจะต้องมีการเตรียมตัวมีการรันเวลา หรือ ต้องยืดหยุ่นเป็น อย่างผมที่ทำสัมมนาสดเยอะมากในหลากหลายตลาดผมมี partner ที่เป็นสายเตรียมเนื้อหาเยอะมากๆจนสุดท้ายผมดูแล้วว่า คนเรียนน่าจะงงแน่ๆ ผมก็จะ feedback เลยว่าเราต้องปรับ
เราไม่ได้ต้อง perfect 100% แต่ทำยังไงให้คนตรงหน้าสามารถที่จะได้ผลลัพธ์และสามารถทำตามได้จริงๆ
นี่คือรูปแบบของการสอนสด เราต้องยืดหยุ่นได้ ทำกิจกรรมได้ ไม่ใช่การมีแต่การทำข้อมูลเยอะๆๆ แล้วบรรยากาศมันไม่ได้
7. การไปเป็น speaker
หรือก็คือมีการที่มีคนเชิญคุณไปสอน รูปแบบการโดนเชิญไปสอนก็คือ ผมและเพื่อนๆได้โดนเชิญไปแชร์ให้กับ สสว. เพื่อให้ SMEs สามารถเข้ามาทำออนไลน์ได้ ซึ่งในวันนั้นเนี่ย มันไม่ใช้รูปแบบของการทำคอร์สแต่ว่าผมบิดการเล่าของผมเพราะผมรู้ว่าคนที่ฟังคือใครวันนั้นผมเลยบิดไปเรื่องของการที่ว่า "จะทำยังไงให้สินค้าที่เหมือนๆกันสามารถขายได้แพงกว่าโดยที่คนไม่สนใจเรื่องราคา"
ซึ่งสิ่งที่ผมเอาไปประยุคก็คือเรื่องของ digital asset นั่นเอง เช่น ขายหมอน แถมคู่มือ ดูแลหัวลูกให้ทุยสวยทำให้ลูกค้าเห็นคุณค่า
ไม่ไปซื้อในเว็บ marketplace
8. In-house training
ระยะหลังผมทำในรูปแบบนี้บ่อย คือการที่แบรนด์
หรือธุรกิจเชิญคุณเข้าไปพูด เผื่อผลลัพธ์บางอย่าง
ก็สามารถที่จะเข้าไปในองค์กร หรือกลุ่ม หรือแบรนด์
ที่จะให้คุณเข้าไปช่วยเค้าให้รายละเอียดต่างๆ
ให้กับทีมของเค้าโดยเฉพาะ
9. Private Coaching
หรือการ consult เป็นครั้งๆ ไม่ผูกมัดระยะยาวผมเคยเชื่อว่าการที่จะเก็บ consult มูลค่าสูงๆเราจะต้องอยู่กันยาวๆ 3 เดือน 6 เดือน แต่หลังจากได้สอน นักเรียนหลายคนทำให้ผมเห็นรูปแบบนี้เพิ่มเติมขึ้นมาหรือก็คือการคุยเพื่อแก้ปัญหาเค้าโดยตรงเลยสักเรื่อง
ที่เค้าหาทางแก้มาเยอะแล้ว แต่หาทางแก้ไม่ได้
เรียนสัมมนามาเยอะก็แล้ว หาวิธีเองก็แล้วแต่ก็แก้ไม่ได้ การทำแบบนี้คือการที่เรามั่นใจและ customize เรื่องที่จะคุยกันเพื่อเค้าเท่านั้น
เพื่อแก้ปัญหาที่เค้ากำลังติดอยู่เท่านั้นเลย
ตัวอย่าง ที่ผมเคยทำ เช่น
10. Consult
การ consult จะต่างจากเมื่อกี้นะครับ
มันจะเริ่มมีช่วงเวลาเข้ามา 3 - 6 เดือน ขึ้นอยู่กับเราตกลง และ มีการตกลงอันอื่นด้วยเช่น ช่วยคิด ช่วยให้ไอเดีย ช่วยประเมิณ แต่ไม่ทำให้ ไม่คิดให้นะ การที่คุณจะทำอะไรพวกนี้ คุณต้องมั่นใจก่อนนะว่าจะช่วยให้เค้าสามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง
และถ้าคุณทำมากกว่าคุณจะเจอคนที่เค้าไม่ได้อยากเสียเวลาเค้าอยากได้ทางลัดที่มันเร็วที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่างที่เค้าติดอยู่ เค้าอยากได้ coach เค้าอยากได้ mentor ในการทำธุรกิจ มันจะได้ไม่เสียเวลา เพราะสำหรับบางคนเวลาของเค้าคือ Asset 1 ตัวในการที่ทำให้เค้ามีเวลาได้เยอะ
ตัวอย่างที่ผมเคยทำ เช่น
เห็นมั้ยครับ ว่าถ้าคุณมีไอเดียดีๆ เพียงแค่ 1 idea คุณสามารถ เปลี่ยนเป็นโอกาสได้ถึง 10 รูปแบบ
เมื่อรู้จัก ทั้ง 10 รูปแบบไปแล้ว ควรเริ่มจากรูปแบบไหน เพื่อให้ถึงเป้า 1 แสน/เดือน
มาลอง แบ่งเป้าให้ดู เห็นภาพมากขึ้นกันครับ
ไม่ว่า จะอยากขายที่เท่าไรในแต่ละรูปแบบ ก็จะมี มูลค่าที่แตกต่างต่างกันไปยิ่งให้คุณค่าได้ดีขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามได้ยิ่ง Support ได้ดี เห็นผลลัพธ์ได้ชัด ราคาแพงกว่าก็ดูเหมาะสม เห็นด้วยมั้ยครับ
สมมติคุณอยากขาย 990
ก็มาดูว่าแบบไหนที่ดูทำให้มูลค่าถึง
หากอยากขาย 5,000
หากอยากขาย 20,000
สินค้ามันจะเป็นอะไรก็ได้คุณต้องทำมูลค่าให้มันดูคุ้มกว่าเงินที่ลูกค้าในฝันจ่ายซึ่งสิ่งที่จะทำให้สินค้ามี value สูงขึ้นมา นั่นก็คือ story telling หรือเรื่องเล่า นั่นเองครับ
ตัวอย่างเช่น
A ขาย นี่คือ คอร์สสอนการตลาดออนไลน์ 5,000 บาท
B ขาย นี่คือ Step by Step ที่สรุปการทำโฆษณาที่พิสูจน์มาแล้ว จาก การยิงแอดเป็น 10 ล้าน
สรุปมาแต่ สิ่งที่สำคัญ และจำเป็น ในการขายคอร์สออนไลน์พร้อม case study จริงแบบหมดเปลือก
แบบไหนน่าซื้อกว่ากันครับ? :)
สรุปนะครับ เริ่มต้นจากไอเดียที่โดน เพียง 1 ตัวมีรูปแบบให้คุณทำ เป็นสิบแบบหากคุณโฟกัส ทุ่มเท อาจจะพลิกชีวิตคุณได้เลย
หากวันนี้ยังไม่มั่นใจ ยังสับสน ผมมี
สัมมนาออนไลน์ฟรี มาแนะนำ (จำนวนจำกัด)
ไม่รู้จะทำไอเดียอะไรดี
ไม่รู้ ตลาดที่ทำ คนจะมีกำลังจ่ายมั๊ย
สัมมนาฟรี หาไอเดียทำเงิน &ตลาดทำเงิน
พร้อม Case Study จริง ที่สร้างเงิน 100k+
โดยที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในตลาดนั้น
และ อีกเคสดิวให้คนเก่ง ทำทำคอร์สให้
© COPYRIGHT 2021, ALL RIGHTS RESERVED